LINE OA ID : @458zoknx TEL: 081-374-8499 EMAIL : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
Packagingpremium.com
ติดต่อเรา | Contact Usหากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ ของพรีเมี่ยม แพ็คเกจจิ้ง ของที่ระลึก และ บรรจุภัณฑ์พลาสติก พิมพ์ Offset UV สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางเราได้ตามรายละเอียด การติดต่อ packagingpremium.com
บริษัท อรุณสยาม ยูนิพลาสต์ จำกัด9 ซอยประชาอุทิศ 33 แยก 9 Tel: 02-873-2819 Auto Hotline : 081-374-8499 | 081-639-3326 LINE OA id: @458zoknx
|
การขายสินค้าเป็นเรื่องสนุก แต่ในขณะเดียวกันก็ท้าทายความสามารถของนักขาย และต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว
ในการเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจนั้น จะต้องอาศัยปัจจัยจากทุกๆส่วนของธุรกิจ นักขายเรียกได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญลำดับต้นๆ เพราะเป็นบุคคลที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ก่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อ นักขายที่ดีจะต้องมีวิธีคิดและข้อควรปฏิบัติอย่างอย่างไรในการวางแผนการขาย อ่านได้ที่นี่เลยค่ะ
1. ธุรกิจคือการบริการลูกค้า
นักขายมักจะยึดติดกับสินค้าที่ตัวเองขาย และลืมนึกไปว่าแท้จริงแล้วลูกค้าได้ประโยชน์ ความสุข หรือความสะดวกจากสินค้าอย่างไร นึกเสมอว่าธุรกิจคือการบริการลูกค้า ลูกค้าต้องการความใส่ใจ นักขายต้องให้ความสำคัญกับลูกค้า และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนเองพิเศษ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากสินค้านั้น
2. โฟกัสที่ผลลัพธ์
งานขายต้องมองที่ผลลัพธ์ ไม่ใช่เพียงหนทางระหว่างนั้น นักขายบางคนอาจเสียเวลากับการเตรียมงาน ดูรายงาน แต่ไม่ตรงเข้าไปหาลูกค้า นำเสนอสินค้าและปิดการขาย นักขายที่ดีต้องรู้วิธีเรียกความสนใจจากลูกค้า เข้าหาลูกค้าเป้าหมาย นัดหมายและนำเสนออย่างมีกลยุทธ์
3. อย่ากลัวในสิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้
นักขายเก่งๆมักจะไม่กลัวที่จะเสี่ยงเข้าหาลูกค้า แม้ลูกค้าผู้นั้นจะดูเป็นโจทย์ที่ยาก แต่ความสามารถของนักขายจะได้รับการบ่มเพาะและพัฒนาจากการเข้าหาลูกค้าโจทย์หินเหล่านี้ ทุกเดือนนักขายควรทำรายชื่อของลูกค้าเหล่านี้และกำหนดกลวิธีที่จะปิดการขายให้ได้
4. ทำให้ลูกค้าร้องว้าว
นักขายที่ดีต้องคอยหาทางที่จะทำให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมและมีความประทับใจในตัวสินค้าจนทำให้ต้องการซื้อทันที หาวิธีนำเสนอที่โดดเด่น แตกต่าง ลูกค้าจะได้จำสินค้าของคุณได้ดีกว่าของคู่แข่ง ที่สำคัญนักขายต้องมีความมั่นใจและเชื่อในสินค้าหรือบริการที่ตนกำลังนำเสนอด้วย
ของพรีเมี่ยม หรือของแจกลูกค้า ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่อง มือในการทำการตลาดในปัจจุบัน สินค้าพรีเมี่ยมโดยทั่วไปจะมีการพิมพ์โลโก้ของบริษัทลงไปบนตัวสินค้า และตัวสินค้าพรีเมี่ยมเอง ก็มีมากมายหลากหลายประเภท เช่น เครื่องแต่งกาย เครื่องเขียน ปฏิทิน หรืออุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือว่าเป็นของพรีเมี่ยมที่นิยมแจกกันเป็นปกติ
เป้าหมายหลักของการให้ของพรีเมี่ยม คือทำให้บริษัทของเราเป็นที่รู้จัก และคล้ายๆเป็นการบอกกลุ่มลูกค้าของเราว่า บริษัทยังดำเนินธุรกิจอยู่ และการแจกของพรีเมี่ยม ไม่ใช่แค่ได้ประโยชน์จากคนที่ได้รับของเท่านั้น แต่ของพรีเมี่ยมบางประเภท เช่น เสื้อ ร่ม เป็นต้น ยังช่วยโปรโมตบริษัทให้กับคนที่พบเห็นผู้ได้รับของพรีเมี่ยมด้วยเช่นกัน
ถ้าเรามองในแง่ของการตลาด ของพรีเมี่ยม ดูเหมือนจะเป็นเทคนิคในการทำการตลาด ที่มีประสิทธิภาพ และได้ผลจริงมากที่สุด วิธีการหนึ่งในการโปรโมตบริษัท เพราะเหตุผลหลายประการด้วยกัน ประการแรกคือ สินค้าพรีเมี่ยมมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับการโฆษณาทางทีวี หรือทางสื่ออื่นๆ ถัดมา คือส่วนใหญ่ของพรีเมี่ยมจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานพอสมควร เช่น แก้ว Mug ปกติคนที่ได้รับไป จะมีแนวโน้มที่จะใช้งานบ่อย และเป็นเวลาอย่างต่ำหลายเดือน หรือไม่ก็ยาวนานเป็นปี
นอกจากนี้ สินค้าพรีเมี่ยมมักจะปรากฎอยู่ในที่ที่ผู้คนพบเห็นได้ง่าย ยกตัวอย่าง แก้ว Mug คนใช้งานก็มักจะวางอยู่บนโต๊ะทำงานตลอดทั้งวัน ถ้ากลุ่มคนที่ได้รับแจกแก้วนั้น เกิดต้องการใช้บริการใดบริการหนึ่ง ที่บริษัทที่แจกแก้วให้บริการอยู่พอดี พอเห็นแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ เค้าก็จะได้นึกถึงบริษัทนั้นทันที โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาบริษัทอื่นที่ให้บริการประเภทเดียวกัน
สรุปคือ การแจกของพรีเมี่ยม คนที่ได้รับก็รู้สึกดีที่รับได้ของ บริษัทที่แจกก็ได้โปรโมตบริษัทตัวเองไปในตัว นั่นคือ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์หมด
จริงๆ แล้ว นอกเหลือจากข้อดีที่กล่าวมา การแจกของพรีเมี่ยมยังถือว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ส่งผลทางจิตใจด้วย เพราะสินค้าพรีเมี่ยม ถูกมองว่าเป็นของฟรี และคนส่วนใหญ่จะรู้สึกในแง่บวกเมื่อได้รับของฟรี ความจริงนี้จะก่อให้เกิดผลบวก ต่อพฤติกรรมและความรู้สึก กับบริษัทที่โปรโมต ชื่อเสียงบริษัทก็จะดีขึ้นตามลำดับ
วิธีการทำการตลาดผ่านการแจกของ พรีเมี่ยม ถือว่าเป็นวิธีการที่บริษัทที่ทำไม่ต้องออกแรงเหนื่อยมาก สิ่งที่คุณต้องมี ก็แค่ ไฟล์โลโก้ของบริษัทคุณ ที่อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมกับการพิมพ์ลงบนตัวสินค้า เช่น อาจจะมีความละเอียดของรูปโลโก้สูง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อพิมพ์ลงบนตัวสินค้าแล้ว ภาพที่ได้จะชัดเจน ส่วนเวลาที่ใช้ก็ไม่นาน โดยปกติแล้วไม่เกิน 1 เดือนคุณก็มีของพรีเมี่ยมที่พร้อมจะแจกได้แล้ว และยิ่งเมื่อคุณสั่งของพรีเมี่ยม จำนวนมากขึ้น ค่าใช้จ่ายต่อชิ้น ก็ยิ่งน้อยลง
ปรกติเรามักจะพูดกันว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่จะทำให้เกิด Engagement มากขึ้น ทำให้คนแชร์มากขึ้น ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แบรนด์ล้วนอยากได้จากการทำการตลาดคือการทำให้ผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมายจดจำแบรนด์ได้ ซึ่ง Social Media เองก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือนั้น (และนั่นน่าจะเป็นอีกหนึ่ง WHY ที่สำคัญว่าคุณทำ Social Media กันไปทำไม)
ทีนี้เพื่อจะตอบโจทย์ในเรื่องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำบน Social Media ได้นั้น ก็จำเป็นต้องมีแนวทางที่คนวางแผน Social Media ควรจะรู้ ซึ่งบล็อกล่าสุดของ Canva เองก็มีการวมแนวทางสำคัญๆ ซึ่งผมว่าเข้าใจง่าย ไม่ยาก และสำคัญอยู่ทีเดียว
แน่นอนว่าสิ่งที่คนจะจดจำได้เร็วคือ “ภาพ” หรือสิ่งที่คน “เห็น” ซึ่งตัวสีนี่เองก็เป็นหนึ่งในการแสดงออกถึงตัวตนของแบรนด์ที่ทำให้คนจดจำได้ แน่นอนว่าในการออกแบบแบรนด์ดังๆ นั้นมีการคิดและวิเคราะห์เรื่องของสีนี้อย่างดี เพราะแต่ละสีก็มีความหมายและเชื่อมโยงกับความรู้สึกที่แตกต่างกัน อย่างเช่นสีแดงของ Coke นั้นก็แสดงถึงความตื่นเต้น (ซึ่งแน่นอนว่าคุณจะรู้สึกนึกถึงโค้กในหลายๆ โมเมนต์โดยไม่รู้ตัว)
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณจำเป็นต้องเลือกสีที่จะใช้เป็นสีหลักในการสื่อสารตัวแบรนด์ของคุณบนโลกออนไลน์ให้ดี เพราะนั่นคือสิ่งที่คนเห็นจะจดจำและเชื่อมโยงสิ่งเขาเห็นเข้ากับความรู้สึกของเขา
ประเด็นที่ผมมักพูดอยู่เสมอๆ คือการเปิด Social Media นั้นไม่ใช่เรื่องยาก (เปิด Facebook Page ใช้เวลาน้อยกว่า 5 นาทีอีก) แต่การจะทำให้มันอยู่อย่างยั่งยืนเป็นเรื่องยาก เพราะมันจำเป็นต้องมีความต่อเนื่องอยู่เสมอ
ลองคิดง่ายๆ ว่าถ้าเพื่อนคุณขยันอัพเดทบน Facebook / Twitter อยู่บ่อยๆ คุณก็จะรู้สึกใกล้ชิดและเข้าถึงเขามากขึ้น ผิดกับเพื่อนบางคนที่นานๆ โผล่มาที หรือแทบไม่เคยเห็นเลย คุณก็อาจจะรู้สึกห่างเหินกับเขาในโลกออนไลน์ เช่นเดียวกันว่าบรรดาแบรนด์ที่พยายามจะใช้ช่องทาง Social Media เพื่อสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายให้เป็นที่จดจำนั้นก็ต้องพยายามคง “ความสม่ำเสมอ” และ “คงเส้นคงวา” ไว้อยู่ตลอด
และการบอกว่า “สม่ำเสมอ” ไม่ใช่แค่การโพสต์อะไรเฉยๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสารและข้อความต่างๆ เองก็ต้องคงเส้นคงวาด้วย เพราะยิ่งคุณย้ำและคงเส้นคงวากับประเด็นที่คุณพูดมากแค่ไหน คนก็จะเริ่มจำตัวคุณในแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ (นั่นเลยทำให้ Content Strategy ถึงสำคัญมากยังไงล่ะครับ)
ในขณะที่ข้อแรกเราพูดถึงเรื่องของสีกัน อีกหนึ่งสิ่งที่คนจะจดจำได้ดีคือตัว Logo ของแบรนด์คุณ ข้อนี้อาจจะเป็นเรื่องไม่ยากของบรรดาแบรนด์ที่มาจากต่างประเทศ แต่สำหรับแบรนด์หรือร้านค้าของไทยเองอาจจะต้องคิดเป็นพิเศษ เพราะโลโก้นี้แหละที่เป็นอีกหนึ่งสิ่งซึ่งสร้างการจดจำ / ความคาดหวังกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้
การทำเยอะไม่ใช่ว่าจะเวิร์คเสมอไป เช่นเดียวกับการโพสต์เยอะๆ อัพเดทแยะๆ จนล้นทะลัก Timeline อาจจะไม่ใช่สูตรที่ดีนักเพราะอาจจะสร้างความรำคาญให้กับคนเว้นแต่คอนเทนต์ของคุณจะเจ๋งจริงเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ การทำการสื่อสารบน Social Media จึงควรคำนึงถึง “คุณภาพ” มากกว่า “ปริมาณ” เป็นหลัก
ขอบคุณข้อมูล : nuttaputch blog
จะซื้อของออนไลน์ ไม่มั่นใจว่าจะโดนโกงไหม ทำยังไงให้ซื้อของออนไลน์แล้วปลอดภัย เรามีเคล็ด (ไม่) ลับ มาแชร์ให้เพื่อนได้ช็อปสนุดและปลอดภัยค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 เช็คข้อมูลร้านค้าก่อนซื้อทุกครั้ง
ขั้นตอนที่ 2 เช็คข้อมูลสินค้าก่อนตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อตัดสินใจว่าจะซื้อต้องไม่ลืม “เก็บหลักฐาน”
หากยังไม่มั่นใจที่จะสั่งซื้อสินค้า LnwShop แนะนำให้ลองสั่งครั้งละน้อยๆ ก่อนนะคะ ถ้าร้านค้าจริงใจ บริการดี ก็ค่อยเป็นลูกค้าประจำอุดหนุนกันต่อไป เราเชื่อว่าร้านค้าออนไลน์ดีๆ ยังมีอีกมาก อย่าให้ร้านค้าโกงเพียงไม่กี่ร้านทำให้คุณต้องกลัวที่จะสั่งซื้อของออนไลน์เลยนะคะ :D สำหรับใครที่เชียวชาญการซื้อของออนไลน์ลองมาแชร์สิ่งที่คุณจะทำก่อนซื้อเพื่อให้ได้สินค้าที่ดีตามที่ต้องการกันได้นะคะ เผื่อว่าเพื่อนๆ จะลองเอาไปทำกันดูบ้าง
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : blog.lnw.co.th
การทำมาหากิจของมนุษย์ในปัจจุบันมีความซับซ้อนกว่าสมัยอดีตมากมาย สังเกตุได้จากอาชีพที่มีชื่อแปลกๆ ใหม่ๆ เช่น Digital Marketer, Community Management เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของสังคมที่จะต้องมีการพัฒนาในด้านต่างๆ เพราะเป็นผลจากการขยายตัวของสังคม
ความซับซ้อนของสังคมคือจุดเริ่มหลายๆ อย่างซึ่งมีทั้งเรื่องดีและไม่ดี สำหรับเรื่องดีปกติแล้วคนเราจะพูดถึงกันน้อย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะสัญชาติญาณการเอาตัวรอดได้รับการกระตุ้นไม่มากพอ เนื่องจากจิตใต้สำนึกรับทราบแล้วว่าสิ่งดีๆ นั้นไม่ได้เป็นภัยกับตัว แต่ถ้าสิ่งไหนที่สัญชาติญาณเห็นว่าเป็นภัยกับตัว หรือมีการกระทบกับความรู้สึกอย่างรุนแรง สิ่งนั้นจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำได้ยาวนานกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก ซึ่งบางครั้งก็จะมีการบอกต่อไปยังคนรอบตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบเดียวกับตน
และวันนี้เราจึงมีเรื่องราวของการกดเงินจากตู้ ATM มาบอกต่อ เพื่อให้รู้ข้อมูลก่อนตกเป็นเหยื่อจากการทำมาหากินของมนุษย์ ที่อยู่ในคราบนักการเงินการธนาคาร โดยหลายคนอาจจะบอกว่า เป็นเพราะเราไม่ดูตาม้าตาเรือเอง หรือพูดง่ายๆ ว่าโง่เอง แต่เรื่องแบบนี้ถ้าไม่เกิดกับตัว แนะนำว่าอย่าไปว่าใครแบบนี้เพราะวันหนึ่งคนนั้นอาจเป็นคุณก็ได้ ดังสุภาษิตทีว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
การกดเงินจากตู้ ATM ปกติแล้วค่าธรรมเนียมจะถูกเรียกเก็บก็ต่อเมื่อ มีการใช้บัตรถอนจากตู้ต่างธนาคารรวมกันเกิน 3 ครั้ง (ภายในเดือนนั้น) ซึ่งครั้งที่ 4 เป็นต้นไป จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียม และค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บสูงสุดคือ 25 (ถ้าจำไม่ผิดคือกรณีทีถอนต่างธนาคารและต่างจังหวัด) แต่มีบางตู้ถ้าท่านเข้าไปกดโดยไม่ดูให้ดี ท่านจะถูกหักค่าธรรมเนียมครั้งละ 100 บาท (ย้ำว่า ครั้งละ 100 บาทนะครับ) ไม่ว่าคุณจะแค่ถามยอด หรือ กดเงิน อะไรก็แล้วแต่ คิดครั้งละ 100 บาท ซึ่งหากคุณถามยอดก่อนกด พอรู้ยอดแล้วกด คุณก็ถูกหักไปแล้ว 200 บาท
ปัญหาดังกล่าวนี้เท่าที่พบส่วนใหญ่ จะเกิดกับคนที่ใช้บัตร ATM ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่กดเงินจากตู้ ATM ของ อิออน โดยบางที่เราจะเห็นว่ามีการวางตู้ไว้ใกล้กัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ แต่มันก็ได้ผลนะครับเพราะบางคนไม่สังเกต เมื่อเห็นว่าอีกตู้ไม่ว่างก็ใช้อีกตู้เพราะเป็นสีเดียวกัน และก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่น้อย
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงคิดว่า ธนาคาร อิออน โหดจัง แล้วก็ใส่ความรู้สึกต่างๆ ลงไปที่อิออน...
อย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ เพราะจากการสอบถามไปยัง 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่คอยให้คำปรึกษา และดูแลเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับบริการทางการเงิน แล้วจึงได้ทราบว่า ค่าธรรมเนียมที่หักครั้งละ 100 บาทนั้นไม่ใช่ทางอิออนหักนะครับ แต่เป็นการหักจากธนาคารไทยพาณิชย์หรือหักจากธนาคารเจ้าของบัตรนั่นเอง ส่วนเงินที่หักนั้นธนาคารเอาไปทำอะไรอย่างไรไม่มีใครทราบ
บัตร ATM ที่เราใช้บริการกันอยู่เป็นประจำ ในมุมมองของธนาคารถือว่าเป็นโปรดักส์ หรือสินค้ตัวหนึ่ง โดยเราจะเห็นได้ว่าเมื่อยุคแรกๆ ธนาคารจะคิดเฉพาะค่าบัตร ต่อมาก็มีการเพิ่มมูลค่าเข้าไปโดยเอาประกันขายพ่วงกับบัตร
บางคนอยากใช้แค่บัตร ธนาคารขายพ่วงไม่ได้ พอมีลูกค้าเลือกที่จะไม่เอามากขึ้น ธนาคารก็แก้ลำลูกค้าโดย ถ้าไม่เอาสินค้าพ่วงก็ใช้บัตรที่กดได้เฉพาะธนาคารของตัวเอง แต่ถ้าต้องการกดได้มากกว่านั้นก็ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งหากเทียบราคาที่ต้องจ่ายค่าบัตร ATM กับต้นทุนของบัตรแล้วจะเห็นว่าเป็นบริการที่แพงมาก โดยส่วนตัวเห็นว่าควรมีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการขายสินค้าในราคาเกินความเป็นจริง...
สำหรับท่านที่มีปัญหาเรื่องในลักษณะดังกล่าวหรือใกล้เคียง โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ติดต่อขอรับคำปรึกษาหรือร้องเรียนได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213 เวลาทำการ วันจันทร์ - วันศุกร์ 08.30 - 12.00 น. และ 13.00 - 16.30 น. นอกเวลาทำการ บริการตอบรับอัตโนมัติ 24 ชม.
ภาพประกอบจาก : อินเตอร์เน็ต
โดย : บรรณาธิการ PrThai.com, PAPANG.COM และ ThaiBizCenter.com
Premium Packaging มีสีและวัสดุของพลาสติกให้เลือกมากมาย ทั้ง